Network Switch มีกี่แบบ?

Network Switch มีกี่แบบ?

การแบ่งชนิดของ Network Switch ตามการใช้งานของอุปกรณ์ สามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบ :

 1. Core Network Switch ใช้เป็นศูนย์รวมกลางในการเชื่อมต่อโครงข่ายหลักระหว่าง Server กับ Router/Gateway รวมถึงการเชื่อมระหว่าง Server กับ Access Switch และ Distribution Switch เป็นเสมือนท่อขนาดใหญ่สามารถรับส่งข้อมูล (Switch Capacity) ได้จำนวนมาก สายสัญญาณที่ใช้รับส่งข้อมูลมีทั้งแบบสายแลน (UTP Cable) และสายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable) อธิบายทางเทคนิคได้ว่า Core Switch ทำงานบน Layer 3 ทำ Access List เพื่อ Route ข้าม VLAN เพื่อใช้เป็น Trunk หรือ Uplink ต่อไปยัง Access Switch แต่ละตัวหรือแม้กระทั่ง Server โดยตรง

 2. Distribution Network Switch ใช้เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อโครงข่ายเพื่อรับส่งข้อมูลระหว่าง Access Switch หลายๆ ตัว ไปยัง Core Switch เป็นเสมือนท่อขนาดกลางความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้น้อยกว่า Core Switch มี แต่สูงกว่า Access Switch สายสัญญาณที่ใช้รับส่งข้อมูลมักเป็นแบบสายแลน (UTP Cable) และสายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable) ทำงานบน Layer 3 อาจมีความสามารถในการทำ redundancy ได้

  3. Access Network Switch หรือ Edge Network Switch ใช้เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อโครงข่ายเพื่อรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ปลายทาง เป็นเสมือนท่อขนาดเล็กในการรับส่งข้อมูล สายสัญญาณที่ใช้รับส่งข้อมูลมักเป็นแบบสายแลน (UTP Cable) ในโครงข่ายขนาดเล็กอาจใช้ Access Switch เชื่อมต่อโครงข่ายหลักระหว่าง Server กับ Router/Gateway จนถึงอุปกรณ์ปลายทางได้โดยตรง Access Switch ทำงานบน Layer 2 (Managed) บางรุ่นทำงานบน Layer3 ใช้กำหนด VLAN ของแต่ละ Port เพื่อต่อไปยังอุปกรณ์ปลายทาง เช่น Access Point, Computor, Printer, IP Phone, IP Camera, etc.

การแบ่งชนิดของ Network Switch ตามคุณสมบัติของอุปกรณ์ แบ่งได้ดังนี้ :

  1. Unmanaged Network Switch : เป็นสวิตช์ที่ไม่มีความสามารถในการตั้งค่าหรือการจัดการเสริม เมื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์เครือข่ายกับ Unmanaged Switch มันจะทำงานโดยอัตโนมัติ และส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ปลายทางโดยไม่มีการกำหนดแยกย่อยและจัดสรรแบนด์วิดธ์ มักใช้ในระบบเครือข่ายเล็กๆ หรือในบ้านที่มีความต้องการเชื่อมต่อพื้นฐานอย่างเพียงพอ

  2. Managed Network Switch : เป็นสวิตช์ที่สามารถกำหนดค่าและจัดการเสริมได้ ผู้ใช้สามารถตั้งค่า VLAN (Virtual Local Area Network) เพื่อแยกแยะและจัดสรรแบนด์วิดธ์ให้แต่ละกลุ่มอุปกรณ์ เช่น กลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในแผนกที่ต้องการใช้ทรัพยากรเครือข่ายมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ นอกจากนี้ Managed Switch ยังมีความสามารถในการติดตั้งการจำกัดการเชื่อมต่อ, Quality of Service (QoS), และการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม

  3. PoE Network Switch (Power over Ethernet) : เป็นสวิตช์ที่รองรับการส่งพลังงานไฟฟ้าผ่านสายเคเบิล Ethernet ในเวลาเดียวกันที่ส่งข้อมูล ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งสายไฟฟ้าเพิ่มเติมสำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ PoE เช่น IP Camera หรือ Wireless Access Point นอกจากนี้ PoE Switch ยังสามารถจัดสรรพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่ายได้

  4. Stackable Network Switch : เป็นสวิตช์ที่อนุญาตให้เชื่อมต่อหลายเครื่องเป็นกลุ่มและทำงานเสมือนเป็นหนึ่งเครือข่ายใหญ่ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและการสื่อสารระหว่างสวิตช์ได้ โดยไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อเพิ่มเติม มักใช้ในเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ต้องการการส่งข้อมูลรวดเร็วและความน่าเชื่อถือสูง

  5. Layer 2 Network Switch : เป็นสวิตช์ที่ทำงานใน Layer 2 ของโมเดล OSI (Open Systems Interconnection) ทำงานโดยใช้ MAC Address เพื่อส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เครือข่าย สามารถจัดสรรแบนด์วิดธ์และเป็นตัวส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว แบบนี้มักใช้ในเครือข่ายที่ต้องการการสื่อสารรวดเร็วและความน่าเชื่อถือสูง

  6. Layer 3 Network Switch : เป็นสวิตช์ที่ทำงานใน Layer 3 ของโมเดล OSI สามารถตัดสินใจในการส่งข้อมูลโดยพิจารณา IP Address และตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางเครือข่าย รวมถึงสามารถระบุการกำหนดค่าคุณลักษณะของการสื่อสาร เช่น QoS (Quality of Service) และ Multicast Routing

  7. Gigabit Network Switch : เป็นสวิตช์ที่สามารถรองรับความเร็วถึง 1 Gigabit per second (Gbps) ในการส่งข้อมูล สามารถใช้ในเครือข่ายที่มีความต้องการส่งข้อมูลอย่างรวดเร็ว เช่นในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีการโอนข้อมูลใหญ่ๆ
 
  8. 10-Gigabit Network Switch : เป็นสวิตช์ที่สามารถรองรับความเร็วถึง 10 Gigabit per second (Gbps) ในการส่งข้อมูล มักใช้ในเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีการโอนข้อมูลอย่างต่อเนื่องและมีความต้องการในการส่งข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ เช่นในศูนย์ข้อมูลหรือบริษัทที่มีการใช้งานความเร็วสูง

 9. Modular Switch : เป็นสวิตช์ที่มีโมดูลต่างๆ ที่สามารถเสริมเข้าไปเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของผู้ใช้งาน โมดูลเหล่านี้มักมาในรูปแบบของสล็อตหรือช่องเสียบ (slots) ที่ออกแบบมาให้สามารถเสริมต่อเติมได้ตามความต้องการ โดยโมดูลที่สามารถเพิ่มเข้าไปใน Modular Switch อาจเป็นโมดูลที่รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายในรูปแบบต่างๆ เช่น Ethernet, Fiber Optic, Token Ring, หรือ Serial Ports รวมถึงโมดูลที่มีความสามารถเสริมเพิ่มเติมเช่นการรองรับการกำหนดค่าความปลอดภัย การจัดการการจัดสรรแบนด์วิดธ์ หรือการทำงานในระดับ Layer 3 ตามความต้องการของผู้ใช้งานและเครือข่ายที่ใช้งาน

 10. Blade Switch : เป็นสวิตช์ที่ออกแบบในรูปแบบของ Blade ซึ่งเป็นแผ่นวงกลมหรือสี่เหลี่ยมที่มีความบางเพียงเล็กน้อยและมีขนาดเล็กกว่าสวิตช์ปกติ ติดตั้งในเฟรมเวิร์คที่เรียกว่า Blade  หรือ Blade Enclosure ที่รองรับได้หลายๆ Blade Switch ใน Chassis หรือ Enclosure เดียวกัน ทำให้ Blade Switch สามารถจัดเก็บหลายๆ สวิตช์ได้ในพื้นที่จำกัด โดยใช้แหล่งจ่ยพลังงานไฟฟ้าชุดเดียวกัน สามารถจัดการและควบคุมที่สะดวกโดยการใช้ตัวควบคุมแบบเซ็นทรัลโมดูล ทั้งการตั้งค่าค่า การจัดสรรแบนด์วิดธ์ และรวมถึงระบบความปลอดภัย

 11. Data Center Switch : เป็นสวิตช์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เก็บรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลที่มีปริมาณมาก และใช้ในการดำเนินงานของเครื่องแม่ข่ายภายในศูนย์ข้อมูล Data Center Switch มีความสำคัญในการจัดการและควบคุมการสื่อสารระหว่างเครื่องแม่ข่ายที่อยู่ภายในศูนย์ข้อมูล มีความสามารถในการจัดการแบนด์วิดธ์สูง ความเร็วสูง และมีการจัดการควบคุมความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อรองรับการส่งข้อมูลที่มีปริมาณมากและการเชื่อมต่อหลายๆ เครื่องแม่ข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความน่าเชื่อถือสูง Data Center Switch ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นและสามารถขยายขนาดได้ตามความต้องการของศูนย์ข้อมูล มักมีความสามารถในการเชื่อมต่อร่วมกันระหว่างสวิตช์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องแม่ข่ายอื่นๆ ภายในศูนย์ข้อมูล เพื่อสร้างเครือข่ายในรูปแบบของผู้ใช้งานเดียวกัน

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้